
เนื้อเรื่องยังคงแฝงความรักของพี่น้องระหว่างเอลซ่าและอันนาได้เป็นอย่างดี และทุกตัวละครมีบทบาทที่เด่นขึ้น ชัดเจนขึ้น ภาพสวย เพลงเพราะ เทคนิคการสร้างดีขึ้นกว่าภาคที่แล้วมาก ตัวละครมีมิติ รีวิวการ์ตูน สวยขึ้นหล่อขึ้น น่ารักขึ้นทุกตัว เนื้อหาในภาคที่ 2 จะเป็นการเล่าถึงการไขปริศนาที่ว่าเอลซ่ามีพลังวิเศษนี้มาจากไหน ซึ่งทำให้ภาคนี้จะ เน้นไปในทางการผจญภัยของทั้งอันนาเเละเอลซ่า รวมถึงคริสตอฟฟ์ ดูซีรีย์ออนไลน์ สเฟนเเละโอลาฟด้วย ซึ่งในภาคนี้ทำให้เห็นถึงการเติบโตของทั้งอันนาเเละเอลซ่ามากขึ้น ทั้งสองคนสวยขึ้นมากเพราะภาคเเรกนั้นทั้งคู่ยังเด็กอยู่ บุคลิกของเอลซ่าจะสุขุมมากขึ้น ดูหนังใหม่ 2023 ส่วนตัวอันนาก็ยังสดใสร่าเริงเหมือนเดิมเพียงเเต่โตขึ้นนั่นเอง ส่วนตัวละครอื่นนั้นยังคงความภาคเเรกไว้เป๊ะเลยนะคะ ส่วนตัวเราจะชอบโอลาฟมากที่สุดเลยเพราะนางน่ารักเราเอ็นดูนางมาก ๆ ภาคนี้นางจะมีความโตขึ้นเล็กน้อยเเต่ก็ยังตลกเเละเรียกเสียงหัวเราะให้เเก่การ์ตูนได้ทั้งเรื่องเลยค่ะ เเต่พอฉากซึ้งเราก็เเทบจะร้องไห้ตามเลยทีเดียว

นอกจากพัฒนาการที่โตขึ้นสวยขึ้นของเหล่าตัวละครเเล้ว เเม้ว่าจะเป็นการ์ตูนที่เหมาะสำหรับเด็กเเต่ถ้าผู้ใหญ่อย่างเราได้ดูเเล้วเรื่องนี้ยังมีข้อคิดที่เราได้รับเยอะเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของพี่น้อง เเม้ว่าทั้งอันนาเเละเอลซ่าจะไม่ได้สนิทกันเหมือนตอนเด็ก ๆ เพราะอุปสรรคจากพลังของเองซ่าเเต่ในภาคนี้เมื่อเอลซ่าต้องออกไปยังดินเเดนที่ค่อนข้างอันตรายเพื่อไปไขปริศนาที่มาของพลังตัวเอง อันนาด้วยความเป็นห่วงพี่สาวจึงเเอบตามด้วยเเม้จะมีอุปสรรคมากมายเกิดขึ้นมากมายเเต่ความเป็นครอบครัวทำให้ทั้งคู่นั้นรักเเละเป็นห่วงกันเเละไม่ทอดทิ้งกัน
หนังยังคงเน้นความสัมพันธ์ที่แนบแน่นของสองพี่น้อง เอลซ่า-อันนา ดูแลซึ่งกันและกันเป็นเรื่องหลัก แทรกด้วยความรักของ คริสทอฟ-อันนา ที่พยายามจะโรแมนติก รวมถึง เจ้าโอลาฟ ยังซนและเรียกเสียงฮาได้อย่างต่อเนื่อง โตขึ้นแล้วพูดมากรอบรู้ ฉากเล่าย้อนภาคแรกขำน้ำตาเล็ด ชอบสุดตอนจิกกัดเอลซ่า ดูเกินงามหญิงมากๆ น่าหมั่นเขี้ยวสุดๆ ส่วน อันนา สวยขึ้นโดดเด่นขึ้นกว่าภาคแรกมาก แต่ช่วงร้องเพลงไม่ค่อยสร้างภาพจำมากนักดูสตรองแข็งแกร่ง ผิดกับ คริสตอฟ ที่มาเป็นพระเอกเอ็มวีขยี้แล้วขยี้อีกในเพลง Lost in the wood รวมๆแล้วหนังสนุกดูเพลินเพลงเพราะ ดูงานภาพวิชวลสวยเช้ง งานดีงานละเอียด เกล็ดน้ำแข็งสวยมาก สุดยอดไปเลยคร้าบ

สิ่งที่จะไม่พูดถึงในภาคนี้ไม่ได้เลยก็คือ ในเรื่องของเพลงตอนที่ ได้ฟังครั้งเเรก ทำให้รู้สึกขนลุกใน พลังเสียงของนักร้องมาก เเม้ว่าฟังครั้งเเรก อาจจะยังไม่ค่อยติดหู เท่าไรนักเเต่พอกลับ มาฟังหลังดูจบเเล้วเรารู้สึกว่า เพลงโคตรเพราะเลยว่ะ เพราะเพลงในภาคนี้ เนื่องจากทุกตัวละครโตขึ้น พอฟังเพลงนี้จึงให้ความรู้สึกว่ามันเหมาะมาก เเละเมื่อได้ลองฟังเพลงเวอร์ชั่นภาษาไทย ที่เเก้ม วิชญาณี ร้องแล้ว มีพลังมากมายบวกกับเสียงอันทรงพลังเเละมีเสน่ห์ทำให้บทเพลงที่ร้องออกมายิ่งเพราะเข้าไปใหญ่

เพลงประกอบภาพยนตร์ของเรื่องนี้นั้น น่าจะเป็นเอกลักษณ์ของตัวเรื่องได้เลย เพราะเราจะได้ฟังกันแบบจุใจอย่างแน่นอน ที่มีมาแทบจะตลอดทั้งเรื่อง และบอกได้เลยว่าแต่ละเพลง “โคตรเพราะ” โดยเฉพาะเพลง “into the unknow” ที่บ่งบอกได้ถึงอารมณ์ ของตัวนักแสดงเลยทีเดียว โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ ทาง การ์ตูน เรื่อง Frozen 2 ได้ปล่อยออกมาถึง 11 เพลง ด้วยกัน ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเพลงของดิสนีย์มันเข้าถึงง่าย และมีท่อนจำให้เราได้ร้องตามติดหูไปตามๆกัน การกลับมาครั้งนี้เติบโตขึ้นแต่ยังคงความสนุกลึกลับท้องฟ้าปิดดูหม่นๆกว่าเดิมแต่ไม่ซับซ้อนเข้าใจง่าย ง่ายมากๆจนไม่มีอะไร เส้นเรื่องชัดบุกป่าอาถรรพ์เพื่อหาคำตอบของพลังวิเศษของเอลซ่า และรู้อดีตและปกป้อง เมืองเอเรนแดล เป็นเรื่องราวหลัง จากที่สองสาวพี่น้อง เอลซ่า และ อันน่า ปกครองเมือง เอเรนเดลอย่างสุขสงบ แต่ดันมีเสียงเรียกจากป่า ดังก้องในหูให้ตาม ไปดูว่ามีเรื่องอะไรในดินแดนนี้บ้าง

การเดินเรื่องเรื่อยๆผสมผสานเพลงอย่างเพลิดเพลิน สองสาววัยเด็กน่ารักบ๊องแบ๊วมากๆ นั่งฟังเรื่องเล่ากันตาแบ๋วดูแล้วยิ้มตามให้กับความน่ารักกิงก่องแก้ว ก่อนจะบุกป่าที่ออกแบบมาอย่างสร้างสรรค์ ทั้งต้นไม้ใบหญ้า จิ้งเหลนไฟ ม้าน้ำที่เท่ระเบิดเดินบนน้ำสวยสง่า สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ การที่ผู้สร้างก็รู้แหละว่าทำยังไงก็คงไม่ได้ดีกว่าภาคแรกอีกแล้ว
ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาโฟกัสเลยคือการหาสูตรสำเร็จที่แฟน ๆ น่าจะชอบประหนึ่งไปนั่งอ่านรีวิวจากคนดูแล้วลิสต์มาเขียนบทเลย เริ่มจากการให้ เอลซา ปล่อยพลังมากขึ้น ซึ่งคราวนี้คุณเธอก็ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรอีกแล้วแถมยังมีโอกาสได้ปล่อยนำ้แข็งกันแบบ ฮีโรค่ายมาร์เวลยังอายม้วนต้วน ตั้งแต่ทอดสะพานน้ำแข็งบนทะเลที่เราได้เห็นตัวอย่างแล้ว เธอยังตะบี้ตะบัน “แช่แข็ง” มันทุกอย่างที่ขวางหน้าทั้ง ไฟป่า ทั้ง “ปั้นน้ำเป็นตัว” ด้วยตรรกะ “น้ำมีความทรงจำ” เพื่อให้เห็นอดีตและไขปริศนา
ไปจนถึงตอนจบที่หรือกระทั่ง โอลาฟ ที่คราวนี้ก็มีบทบาทมากขึ้น แถมเรายังใช้คำว่าขโมยซีนได้ลำบากเหลือเกิน เพราะเหมือนบทเขียนมาให้ซีนนางแบบจงใจมาก ซึ่งตรงนี้ถ้าใครชื่นชอบโอลาฟ ก็คงฟินลึ่มกันเลยทีเดียว