
6 ปีหลัง Wreck It Ralph (2012) การกลับมาของภาคต่อที่พ่วงคำว่า Breaks The Internet ในครั้งนี้นอกจากการขยายโลกจากเครือข่ายตู้เกมอาร์เคตไปสู่โลกอินเตอร์เน็ตเพื่อเข้าถึงคนดูเจนใหม่ๆได้ง่ายขึ้นแล้ว การให้ราล์ฟและเวเนโลปีนำเราสู่โลกอินเตอร์เน็ตที่กว้างใหญ่ไพศาลยังเป็นการเปิดโอกาสให้นำ “สินทรัพย์” ระดับพันล้านของดิสนีย์กลับมามีชีวิตในยุคปัจจุบันได้อย่างกลมกลืน เพราะเราต้องยอมรับว่า อินเตอร์เน็ต คือที่ซึ่งไร้กาลเวลาสาวกดิสนีย์รุ่นเก๋าก็ยังคงวนเวียนฟังเพลงประกอบการ์ตูนวัยเด็กในยูธูป ในขณะที่เด็กรุ่นใหม่ก็เสพย์ภารกิจของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลกันในทุกแพลดฟอร์ม ส่วนสาวกสตาร์วอร์สก็หมั่นทำคอนเทนต์เพื่อสนับสนุนหนังในดวงใจกันต่อเนื่องมาตลอด จึงไม่แปลกที่หนังภาคนี้จะมีสถานะไม่ต่างจากหนังฟอร์มยักษ์ที่มุ่งขายมหาชนกันแบบแทบทุกกลุ่มชน ซึ่งถือเป็นก้าวที่ชาญฉลาดมากเพราะแม้ตัวหนังจะไม่ได้มีพัฒนาการด้านเรื่องราวไปมากกว่าหนังภาคแรกนักแต่ก็ต้องยอมรับว่าการได้เห็นดารารับเชิญจากดิสนีย์เองสามารถเรียกความทรงจำสีจางของเราได้น่าประทับใจจริงๆ แม้ว่าจะแอบรู้สึกว่าดิสนีย์โปรโมต Oh My Disney บริการสตรีมมิงใหม่ของตัวเองหนักมากก็ตาม

ส่วนสาวกมาร์เวลและสตาร์วอร์สอาจแอบน้อยใจที่ตัวละครโปรดโผล่มาแค่ไม่กี่ตัว (อ้าว!ใช้ตัวเฉยเลยทีเจ้าหญิงใช้องค์ ฮ่าาาา) แต่เชื่อเถอะว่าความพีคไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะการที่ดิสนีย์ได้ใส่ “หัวใจ” ของหนังมาร์เวลเข้ามาแบบถ้าคุณไม่ปรบมือให้ก็ถือว่าใจร้ายเกินไปแล้วล่ะ แต่หากพิจารณาดีๆการที่ดิสนีย์ไม่ใส่ฮีโร่จากมาร์เวลหรือสตาร์วอร์สเข้ามาก็มีส่วนช่วยให้เราโฟกัสกับความเป็นฮีโร่ของราล์ฟมากขึ้นและช่วยเติมเต็มให้หนังเข้ากับองค์ประกอบของดิสนีย์ที่เมื่อมีเจ้าหญิง ก็ต้องมีฮีโร่ (เจ้าชาย) บริบูรณ์สวยงามตามท้องเรื่องในแบบดิสนีย์ได้ไม่ขัดเขินอีกด้วย

เรียกได้ว่าตลอด 1 ชั่วโมง 52 นาทีรวมเอนด์เครดิตสุดฮา 2 ตัวแล้วต้องบอกว่า ไม่มีสักนาทีที่ปากเราจะไม่อย่างกรี๊ด มือเราจะอยู่นิ่งห้ามใจไม่ให้ปรบมือได้เลยสักนาที โดยความประทับใจส่วนใหญ่ก็มาจากมุกตลกทั้งที่มาจากการปรากฎตัวของเหล่าเซเลบดิสนีย์และมุกตลกจากเรื่องราวเองจนทำให้ Ralph Breaks The Internet คือความสุขส่งท้ายปีจากยักษ์ใหญ่อย่างดิสนีย์จริงๆ